คีเลชั่น (Chelation) คือการให้ยาหรือสารเคมีเข้าไปในร่างกายเพื่อกำจัด สารโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว สารปรอท สารหนู และสารโลหะที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแต่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น เช่น ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสีที่จับอยู่ในผนังหลอดเลือดและอวัยวะต่างๆให้ออกจากร่างกายซึ่งสารเหล่านี้ได้รับเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านหลายช่องทาง ทั้งจากการบริโภคเข้าไปกับอาหารและการได้รับเข้าสู่ร่างกายจากสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษ
ด้วยแนวคิดดังกล่าว แพทย์และนักวิชาการทั่วโลกจึงได้พัฒนาศาสตร์ ที่เรียกว่า
“คีเลชั่นบำบัด“ ขึ้นและให้บริการในประเทศพัฒนาแล้วเช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย เป็นต้น
หลักการง่ายๆ ของคีเลชั่นก็คือ การเอาของดีเข้าสู่ร่างกายเพื่อไล่ของเสียออก วิธีการคือ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ โดย EDTA จะเข้าไปทำหน้าที่สำคัญในการจับสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือแม้แต่แคลเซียมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ พอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดทำให้เป็นอันตรายต่อผนังเซลล์และผนังหลอดเลือดเพื่อขจัดออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
การทำคีเลชั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เหมือนการให้น้ำเกลือธรรมดาๆ นี่เอง ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้งประมาณ 1.5-2 ชั่วโมง ระหว่างที่ทำสามารถพักผ่อน รับประทานอาหารว่าง ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงได้ตามปกติ และหลังจากทำเสร็จแล้ว ก็สามารถประกอบกิจกรรมได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาลหรือคลินิก
ล้างพิษด้วย คีเลชั่น ดีอย่างไร?
หากร่างกายคนเรามีการสะสมของสารพิษหรือโลหะหนักจนถึงระดับหนึ่ง จะแสดงอาการออกมาให้เห็น ด้วยอาการป่วยในระบบอวัยวะต่างๆ ในรายที่สะสมมากๆเป็นเวลานานๆ ความเป็นพิษของโลหะหนักจะเข้าไปมีผลต่อการทำงานของกลไกระดับเซลล์ เช่น ทำให้เซลล์ตาย, เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของเซลล์, เป็นตัวการทำให้เกิดมะเร็ง, เป็นตัวการทำให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม และทำความเสียหายต่อโครโมโซม ซึ่งเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม
“ที่สำคัญคือ โลหะหนักทุกชนิดไม่สามารถเผาผลาญในร่างกายได้”
ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำคีเลชั่น
- การทำคีเลชั่นทำให้ร่างกายสดชื่น สมบูรณ์ แข็งแรงขึ้น
- ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี
- ช่วยให้อาการอ่อนเพลียเรื้อรังหายไป
- ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ฝ้า กระ ลดลง (ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้ง)
คีเลชั่นเหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้น เลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือคนในบ้านในที่ทำงานสูบ ฯลฯ
- ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ
- ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
- ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือดตีบตัน รวมทั้งต้องการการจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต
ขั้นตอนการทำคีเลชั่น
- พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล
- ทำการตรวจ Lab พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การทำงานของไต ลักษณะเม็ดเลือด และปริมาณโลหะหนักในร่างกาย
- ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) สามารถบ่งบอกภาวะของเลือดในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิต ซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลาย ครอบคลุมในหลายๆ โรค (แล้วแต่กรณี)
- ทำการบำบัดด้วยคีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสมแก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย
- นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เป็นอยู่
- โดยส่วนมากมักจะทำคีเลชั่น อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 10 ครั้ง หลังจากนั้นประเมินผลเลือดอีกครั้งว่ายังมีโลหะหนักสะสมอยู่ในร่างกายอีกหรือไม่
การปฏิบัติตัวเมื่อทำคีเลชั่น
- ควรตรวจร่างกายเพื่อประเมินปัญหาที่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจประสิทธิภาพการทำงานของไตก่อนเข้ารับบริการ
- แนะนำให้งดวิตามินและอาหารเสริมในวันที่ทำ เพื่อป้องกันการรบกวนการทำงานของยา
- ระหว่างที่ร่างกายกำจัดสารพิษ และลดโลหะหนักสะสม ไตจะทำงานเพิ่มขึ้น ควรดื่มน้ำสะอาดมากขึ้น
- หลังทำคีเลชั่นควรรับประทานวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ในรูปอาหารเสริมเพิ่มขึ้นจากอาหารประจำวัน เพราะอาจมีการสูญเสียแร่ธาตุไปบ้างในระหว่างการทำคีเลชั่น
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณ 2 ลิตรต่อวันเป็นเวลา 3 วัน หลังจากทำคีเลชั่นบำบัดเพื่อให้ช่วยนำพาสารพิษขับออกทางปัสสาวะได้มากขึ้น
- กลางคืนนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง เนื่องจากหลังทำคีเลชั่นอาจมีอาการอ่อนเพลียซึ่งเป็นผลจากการขับสารพิษออกจากร่างกาย
- หลังการทำคีเลชั่นบำบัด สามารถรับประทานยาที่รับประทานอยู่ประจำได้ตามปกติ และควรรับประทานวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ตามที่แพทย์จัดให้
- อาจมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่พบได้กับผู้ป่วยน้อยราย ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือดื่มน้ำผลไม้ทดแทน เพราะระหว่างการทำอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งอาการจะทุเลาลงและหายไปเอง ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
- ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสีผสมอาหาร อาหารทะเลที่มีตะกั่วปนเปื้อน เป็นต้น
- หลังจากทำคีเลชั่นครั้งที่ 5 แนะนำให้รับประทานอาหารเสริมที่มี Zinc
ผลข้างเคียงจากการทำคีเลชั่น
ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ในคนที่มีสารพิษสะสมมาก อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย เรียกว่า Healing crisis
อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ, ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
ข้อควรระวัง
- คนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับไต เช่น ไตวายเรื้อรัง หรือการทำงานของไตผิดปกติ ไม่แนะนำให้ทำ
คีเลชั่น โดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
- คนไข้ที่มีประวัติแพ้ ETDA ซึ่งพบได้น้อยมาก
คนท้องและหญิงให้นมบุตร ไม่ควรทำคีเลชั่น