ทุกวันนี้อาจจะยังมีคนจำนวนมากที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม และการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดด้วย ว่าแล้วก็มาดูกันเลยค่ะว่าสิ่งต่างๆที่คนทั่วไปมักจะเข้าใจผิดนั้นมีอะไรกันบ้าง ทั้งนี้เพื่อจะให้ทำความเข้าใจได้อย่างถูกต้อง และประโยชน์ที่จะนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับตัวเองด้วยค่ะ
1 ) ไข่เป็นของแสลง และทำให้เกิดแผลเป็นหลังผ่าตัด
ตามความเชื่อแบบโบราณ และแบบคนทั่วไป รวมถืงการสั่งสอนบอกต่อมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ คุณแม่ของเราๆที่มักจะบอกว่า อย่ากินไข่นะ เดี่ยวจะเป็นแผลเป็น หรือไม่ก็จะเป็นคีลอยด์
จริงๆแล้วนั้นสำหรับทางการแพทย์แล้ว คำว่า ของแสลงจริงๆนั้นไม่มี แต่เรามักให้คนไข้หลีกเลี่ยงอาหารบางอย่างที่ไม่สะอาด เช่น ปลาร้า อ่อม ของหมัก ของดอง และ ของมึนเมา เพราะของพวกนี้ไม่สะอาด ไม่สด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
สำหรับไข่ กับแผลเป็นคีลอยด์นั้น ก็ไม่เกี่ยวข้องกันค่ะ เพราะไข่มีทั้งวิตามินและโปรตีน ที่ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนที่ให้แผลหายได้เร็วขึ้น แต่การเกิดแผลเป็น และคีลอยด์นั้น เกิดจากความไม่สมดุลกันของร่างกายที่สร้างคอลลาเจนปริมาณมากเกินไปในขณะที่แผลกำลังหาย จึงทำให้เกิดแผลเป็นนูน หรือคีลอยด์ได้ ดังนั้นคนที่เป็นแผลแล้วไม่เกิดแผลเป็น ไม่ว่าจะทานไข่มากแค่ไหนก็จะไม่เกิดแผลเป็นนูนแน่นอน แต่สำหรับคนที่มีโอกาสเกิดแผลเป็นนูนอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้ทานไข่เลยก็สามารถเกิดแผลเป็นนูนหลังแผลหายได้ เพราะสิ่งนี้เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากพันธุกรรมค่ะ
2 ) ต้องเสริมจมูกใหม่ทุกๆ 10 ปี
คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตค่ะ หลายท่านจะมีความกังวลเสมอว่า เสริมแล้วจะอยู่กับเราไปตลอดหรือเป่าว ต้องมาเสริมใหม่หรือเปล่าหลังจาก 10 ปีผ่านไป
ซิลิโคนที่ทาง BB Clinic นำมาใช้นั้นเป็น ซิลิโคนที่ผลิตมาเพื่อใช้สำหรับทางการแพทย์เท่านั้น (Medical grade silicone) เป็นวัสดุที่ปลอดภัย และคงรูป ไม่มีการเสื่อมสลายหรือแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่เหตุผลที่คุณหมอหลายๆท่านแนะนำให้เปลี่ยนก็เป็นเพราะว่าเมื่อเราใส่ Silicone เสริมจมูกเข้าไปในร่างกายเราแล้ว ร่างกายของเราจะตอบสนองต่อ Silicone โดยการสร้างเนื้อเยื่อมาหุ้ม และเมื่อระยะเวลาผ่านไปนานๆเนื้อเยือนั้นจะมีความแข็งแรงขึ้น และสามารถบิดหรือเปลี่ยนรูปทรง Silicone นั้นได้ หรืออาจมีแคลเซียมจากร่างกายของเรามาเกาะบริเวณรอบๆ ทำให้รูปร่างที่เห็นภายนอกนั้นเป็น ตะปุ๋ม ตะป่ำ ไม่เรียบได้ ( แคลเซียม ที่สร้างจากร่างกายนั้น เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลค่ะ ไม่ได้เป็นกันทุกคน )
จุดขาวๆตรงลูกศร คือ Calcium ที่มาเกาะที่ silicone
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สรีระร่างกายใบหน้าที่เปลี่ยนไปตามวัย ยกตัวอย่างเช่นว่า เมื่ออายุ 20 ผิวหนังและสรีระใบหน้าก็เป็นอีกแบบ พออายุเข้า 30 – 40 ใบหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนรูปใบตามวัย ดังนั้นทรงจมูกที่เคยเสริมไว้เมืออายุยังน้อยอาจจะไม่เหมาะกับสภาพใบหน้าที่เปลี่ยนไปตอนอายุมากๆก็เป็นได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ต้องมาเสริมใหม่โดยหมอจะเหลาซิลิโคนให้เข้ากับทรงจมูก ณ ปัจจุบันมากที่สุด
3 ) เสริมจมูกแล้ว สามารถลดขนาดปีกจมูกได้ด้วย
เรื่องนี้เป็นผลพลอยได้ค่ะ และผลพลอยได้นั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับกับทุกคนเสมอไป เพราะการเสริมจมูกนั้นจะทำให้มีดั้งจมูกที่โด่งขึ้น แต่สำหรับปีกจมูกนั้น ผู้ที่มีปีกจมูกบานไม่มาก เนื้อน้อย ก็มักดูเล็กลงได้หลังเสริมจมูก แต่สำหรับคนที่เนื่อปลายจมูกเยอะ และปีกจมูกบานมากๆ ก็คงต้องใช้วิธีตัดปีกจมูกอย่างเดียวค่ะ เพราะการเสริมจมูกจะไม่สามารถช่วยทำให้จมูกดูแคบลงได้ขนาดนั้นสำหรับผู้ที่มีปีกจมูกกว้างมากจริงๆ
นอกจากนี้อาจจะส่งผลเสียได้เพราะถ้าต้องการยกปีกให้แคบ ก็จะต้องใส่ปลาย silicone ให้มีขนาดใหญ่เพื่อที่จะยกปีกได้สูงขึ้น แคบขึ้น แต่เมื่อใส่ปลาย silicone ให้ใหญ่ ปลายจมูกที่ดูใหญ่ๆ เนื้อเยอะๆ จะทำให้จมูกดูใหญ่มากขึ้นไม่สมส่วน และที่สำคัญ ถ้าปล่อยให้ ปลาย silicone ใหญ่ๆ ค้ำปลายจมูกไว้นานๆ จะทำให้เนื้อจมูกทะลุ ดังนั้นผู้ที่มีปลายจมูกบานและมีเนื้อเยอะ ถ้าอยากลดขนาดปีกจมูก ก็ควรแก้ปัญหาให้ถูกที่โดยการตัดปีกจมูกไปเลยจะดีกว่าค่ะ
5 ) สามารถฉีดฟิลเลอร์ซ้ำๆได้เท่าที่ต้องการ
ฟิลเลอร์ผลิตมาจาก การหมักของแบคทีเรีย Streptoccocus equi (เป็นเชื้อโรคที่ไม่ก่อโรค) โดยหลักการเติมของฟิลเลอร์คือเติมเต็มในเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนังที่มีรูพรุนหรือมีลักษณะเหมือนฟองน้ำอยู่ เมือคุณหมอฉีด ฟิลเลอร์เข้าไป ตัวฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มรูพรุนเหล่านั้น ทำให้ชั้นไขมันผิวหนังบริเวณนั้นหนาตัวขึ้น
ดังนั้น สำหรับคนที่ฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกไปแล้ว และรูพรุนที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังตัน การฉีดฟิลเลอร์ครั้งใหม่จะไม่ได้เป็นการเติมเต็มอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนการฉีดครั้งแรก หลายคนที่ฉีดฟิลเลอร์เสริมจมูกไป แล้วกลับไปฉีดเติมจมูกนั้นก็จะโด่งขึ้นมาได้อีก แต่อาจจะเกิดรอยแดงๆ บริเวณที่ฉีด เพราะฟิลเลอร์หลอดใหม่จะเข้าไปอัดกันแน่นในรูพรุนนั้น ทำให้เนื่อเยื่อแล้วผิวหนังตึงขึ้น เมื่อผิวหนังตึงมากๆ ร่างกายเราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยการ เพิ่มปริมาณเลือดเข้าไปเลี้ยง ซึ่งก็คือรอยแดงๆที่เกิดขึ้นนั่นเอง
แม้ว่าองค์การอาหารและยาของไทยจะอนุญาติให้ใช้ฟิลเลอร์สำหรับศัลยกรรมตกแต่งได้ แต่ก็เป็นการใช้ในกรณีเติมร่องลึกๆต่างบนใบหน้า ไม่ได้ใช้เพื่อมีจุดประสงค์หลักสำหรับการเสริม (Augmentation) ดังนั้นคนไข้จึงต้องศึกษาข้อมูลอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจ เพื่อที่จะเลือกใช้วิธีการเสริมความงามให้กับตัวเองได้อย่างถูกต้อง
6 ) ฟิลเลอร์สามารถฉีดสลายได้หมด 100%
ฟิลเลอร์เป็นสารที่ไม่สามารถสลายตัวไปตามธรรมชาติได้ 100% ซึ่งส่วนมากคนไข้ที่ฉีดฟิลเลอร์ครั้งที่สองแล้วเกิดปัญหารอยแดง ก็จะต้องแก้ปัญหารอยแดงนั้นซึ่งก็ต่างกันไปแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแล บางท่านอาจใช้การยิงเลเซอร์รักษารอยแดง เมื่อรอยแดงหายไปแต่ความร้อนจากเลเซอร์ก็จะทำให้ฟิลเลอร์ยุบตัวลง ผลที่ได้คือจมูกที่เสริมจากฟิลเลอร์ก็จะเกิดการยุบตัวและผิดรูปไป ท้ายสุดคนไข้ก็จะเลือกมาแก้จมูกโดยการเสริมจมูกใหม่ด้วยซิลิโคน
ในบางกรณี แพทย์ก็จะแนะนำให้คนไข้ที่มาแก้จมูก กลับไปฉีดยาสลายฟิลเลอร์ก่อนที่คลินิกที่เคยทำมา ซึ่งผลของการสลายนั้นจะไม่ได้ทั้ง 100% อยู่ดี เนื่องจากเยื่อไขมันใต้ผิวหนังเต็มไปด้วยฟิลเลอร์ ยาสลายฟิลเลอร์ที่ฉีดไปทีหลังก็อาจจะไม่สลายฟิลเลอร์ได้อย่างทั่วถึง และสลายได้แค่บางจุดเท่านั้น
7 ) ร้อยไหมเสริมจมูก แล้วจมูกโด่ง
บางท่านที่ต้องการอยากมีจมูกที่โด่งขึ้น แต่ยังไม่กล้าผ่าตัดเสริมจมูก และคิดว่าการร้อยไหมก็สามารถเสริมจมูกได้จากข้อมูลผิดๆที่ว่าไหมจะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้จมูกโด่งขึ้นแต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6-8 เดือน
ปลายไหมเสริมจมูกที่เลื่อนมาอยู่ที่ปลายจมูก
ในความเป็นจริงนั้น ไหมที่ใช้สำหรับการร้อยไหมก็คือไหมที่สามารถละลายได้เมื่อเวลาผ่านไปนานๆตามแต่คุณภาพของไหมแต่ละประเภท โดยจะนิยมใช้สำหรับการยกกระชับใบหน้าเสียมากกว่า โดยคนไข้สามารถมาร้อยไหมใหม่ได้เมื่อไหมละลายหมดไป แต่ไหมจะไม่สามารถสร้างคอลลาเจนและใช้แทนการเสริมจมูกได้แน่นอนค่ะ
– บทความโดยนายแพทย์ อดุลชัยแสงเสริฐ
ศัลยแพทย์ประจำ BB Clinic & Beauty Center
– เรียบเรียงบทความโดย BB Clinic