Category : บทความและสาระน่ารู้

เสริมจมูก จะใช้ซิลิโคนแบบไหนดี


» ต้องการเสริมจมูก ควรจะเลือกใช้ซิลิโคนแบบไหนดี » คำถามนี้เป็นหนึ่งในคำถามยอดฮิตสำหรับลูกค้าของ BB Clinic หลายคนสงสัยว่า ใบหน้าอย่างเค้า จะเหมาะกับซิลิโคนแบบไหน เพราะจากการลองสอบถามมาหลายที่ แต่ละที่ก็บอกไม่เหมือนกัน บางที่มีให้เลือกหลายแบบตั้งแต่ซิลิโคนของไทย, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เกาหลี และที่แปลกคือบางที่ก็มีซิลิโคนของอเมริกาและของบราซิลด้วย แถมการตั้งราคาของซิลิโคนเหล่านี้ ก็ค่อนข้างสูงแตกต่างไปตามแหล่งที่มาด้วยเช่นกัน


  • ซิลิโคนของไทย ( สีเทา แข็งๆๆ ) ถูกที่สุด ราคา 5000-6000 บาท
  • ซิลิโคนของญี่ปุ่น ( สีเหลือง นิ่มปานกลาง ) ราคามีตั้งแต่ 8000 – 15000 บาท
  • ซิลิโคนของเกาหลี ( สีเหลือง หรือ สีน้ำตาลแดง นิ่มปานกลาง ) ราคา 20000 – 30000 บาท
  • ซิลิโคนของอเมริกา ( สีขาว นิ่มปานกลาง ) ก็ราคา 15000 — 35000 บาท
  • ซิลิโคนของบราซิล ( สีขาวใส นิ่มมาก ) 40000 บาท ขึ้นไป


Medical Grade Silicone ซิลิโคนเสริมจมูก


คำถามก็เกิดขึ้นมากมายว่า แล้วแต่ละที่มา มันดีแตกต่างกันอย่างไร แล้ว คนไข้แต่ละคนเหมาะกับแบบไหน ราคาแพงกว่าย่อมดีกว่าหรือเปล่า ก่อนจะตอบคำถามผม ขอย้อนถึงบทความก่อนหน้านี้ให้ฟังก่อนว่า ซิลิโคนที่สามารถนำมาใช้ในร่างกายคนไข้ได้นั้นต้องเป็น ซิลิโคนที่ผลิตขึ้นมาใช้ในการแพทย์ได้เท่านั้น หรือที่ เรียกว่า Medical Grade Silicone ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีโรงงานที่สามารถผลิต Medical Grade Silicone ได้ครับ ดังนั้นการที่ใช้ชื่อเรียกกันว่า ซิลิโคนของไทย (ลักษณะ แข็งๆ สีเทา) นั้นจึงไม่ถูกต้องซะทีเดียวครับ

ส่วนที่บอกว่า เป็นซิลิโคนของอเมริกา และของบราซิลนั้น ก็อยากจะชี้แจงว่า ถึงประเทศดังกล่าวจะมีเทคโนโลยีที่สามารถ ผลิต Medical Grade Silicone ได้ แต่เค้าจะผลิตมาทำไม ในเมื่อทั้งคนอเมริกาและคนบราซิล ก็มีจมูกโด่งมากอยู่แล้ว และการเสริมจมูก ( Rhinoplasty ) ของฝรั่งนั้น โดยส่วนใหญ่คือการลดขนาดของจมูก การปรับรูปทรงจมูกให้ดูสวยงาม ไม่งุ้มงอ ไม่โด่ง หรือใหญ่จนเกินไป ซึ่งจะแตกต่างจากการเสริมจมูก (เสริมดั้ง) แบบชาวเอเชีย ดังนั้นจึงเรียกได้ว่า แทบจะไม่มีการนำซิลิโคนมาใช้ในการเสริมจมูกเลยด้วยซ้ำ สำหรับประเทศแถบโน้น

ซึ่งหมายความว่า ซิลิโคนของบริษัทต่างๆ นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยนั้นนำเข้ามาจากจีน, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น และ เกาหลี ซึ่งบอกได้เลยครับว่า ฐานการผลิต หรือโรงงานที่ ผลิตนั้น อยู่ที่ จีนแผ่นดินใหญ่ครับ (คล้ายๆสินค้าพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า อิเลคทรอนิคส์ต่างๆ ที่ผลิตในจีนแล้วไปตีตรายี่ห้อ USA) ตอนนี้จึงพอจะเข้าใจกันแล้ว ใช่ไหมครับว่า จริงๆ แล้ว Silicone นั้นมีที่มาจากที่ แห่งเดียวกัน แล้วทำไม มันถึงแตกต่างทางด้าน ราคานัก แล้วอย่างนี้ คนไข้ จะตัดสินใจเลือกอย่างไรดี


ผมขอแนะนำดังนี้ครับจริงๆแล้ว Medical Grade Silicone นั้นมีแค่ 2 แบบใหญ่ๆ คือ

1) ซิลิโคนสำเร็จรูป (คือซิลิโคนที่ทำมาสำเร็จแล้ว)


Medical Grade Silicone ซิลิโคนเสริมจมูก


2) ซิลิโคนแท่ง (คิอซิลิโคนที่เป็นแผ่นใหญ่แล้ว นำมาเหลา) ซึ่ง ซิลิโคนแท่งนั้นแบ่ง ออกเป็น 4 ชนิดย่อยตามลักษณะความอ่อนแข็ง คือ

2.1 ) Hard (แข็ง)

2.2 ) Medium (แข็งปานกลาง)

2.3 ) Soft (นุ่ม)

2.4 ) Utra Soft (นุ่มมาก)


Medical Grade Silicone ซิลิโคนเสริมจมูก


เมื่ออ่านถึงตรงนี้คนส่วนใหญ่จะคิดว่า งั้นของเราเลือกแบบ นิ่มๆๆ นุ่มๆ ดีกว่า จะได้จับได้บิดได้ เผื่อเดินไปชนอะไรจะได้ไม่เกิดปัญหา ซึ่งหมอบอกได้เลยว่า เป็นความคิดที่ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะว่า ถ้าซิลิโคนนุ่มเกินไป จะไม่สามารถเหลาขึ้นรูปทรงให้สวยงามได้ เพราะมันนิ่มมาก นอกจากนี้ ยิ่งมันนิ่มมากแล้วเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนังเรา ต่อไปซักพักซิลิโคนที่ นุ่มมากๆนั้นจะยุบตัวลงไปอีก ทำให้ดูไม่โด่งเหมือนไม่ได้ทำมา ( ตรงนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้คนคิดว่าเสียเงินเสริมจมูกแสนแพง แต่กลับดูเหมือนไม่ได้ทำมา)


หมอขอแนะนำว่าแต่ละคนมีผิวใบหน้าไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเลือกซิลิโคนควรจะขึ้นกับความหนาบางของผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณสันจมูกและ ปลายจมูก โดยมีวิธีการเลือกดังนี้ครับ


1) คนไข้ มีเนื้อบริเวณสันจมูกเยอะ หรือมีความหนา (คือ สามารถดึงเนื้อขึ้นได้เยอะ) สามารถเสริมจมูกให้โด่งได้มาก รวมถึงสามารถใช้ Silicone ที่มีความแข็งในระดับ Medium ได้ เพื่อที่จะสามารถเหลาซิลิโคนทำให้รูปทรงสวยงามได้ เพราะนอกจากจะดูสวยและเนียนแล้ว ยังไม่ยุบตัวง่ายเมื่อเสริมไปนานๆ ในกรณีนี้หมอจะเลือกให้ซิลิโคนสีขาว หรือที่คนไข้เข้าใจว่าเป็นซิลิโคนของอเมริกา


2) คนไข้มีเนื้อบริเวณสันจมูกไม่มากไม่น้อยกลางๆ หมอแนะนำให้ใช้ซิลิโคนที่มีความแข็งในระดับ Soft ครับ เพราะ เมื่อเสริมไปแล้ว จมูกจะดูโด่งและสวย ถึงแม้ว่า เวลาผ่านไปก็จะยิ่งดูเนียนขึ้น ในกรณีนี้ หมอจะเลือกใช้ซิลิโคนสีเหลือง หรือ สีน้ำตางแดงครับ ที่คนไข้เข้าใจว่าเป็นซิลิโคนของญี่ปุ่น หรือของเกาหลี


3) คนไข้เนื้อบริเวณสันจมูกน้อย หรือเนื้อบางมากๆ (คือไม่สามารถดึงเนื้อบริเวณสันจมูกขึ้นได้เลย ) กรณีนี้ หมอไม่แนะนำให้เสริมจมูกโดยการใช้ซิลิโคนครับ เพราะเนื้อที่จมูกบางมากๆอยู่แล้ว ถ้าใส่ซิลิโคนไป ตอนที่เนื้อแนบกับซิลิโคน จะทำให้จมูกดูโด่งถึงโด่งมากครับ กรณีนี้ ถ้าคนไข้อยากเสริมจริงๆ คงต้องแนะนำให้ เสริมแบบการฉีด Collagen ครับน่าจะเหมาะสมกว่า


Medical Grade Silicone ซิลิโคนเสริมจมูก


สำหรับที่ BB Clinic นั้นเราใช้ซิลิโคนอยู่ 2 ชนิดคือแบบ Medium และแบบSoft โดยเราจะทำการตรวจจมูกของคนไข้ก่อนทำการเสริม แล้วประเมินดูว่า คนไข้เหมาะกับซิลิโคนชนิดไหนตามที่กล่าวมาข้างต้นครับ




เห็นความสวยล่วงหน้าด้วย กล้องสามมิติ — Virtual 3D Scan Camera


เห็นความสวยล่วงหน้าด้วยกล้องสามมิติ Virtual 3D Scan


เพื่อนๆ ทราบไหมคะว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการทำศัลยกรรม ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว สมัยก่อนการตัดสินใจทำศัลยกรรมแต่ละครั้ง อาจจะต้องคิดแล้วคิดอีก “ทำดีไหมนะ ไม่ทำดีกว่าไหม ทำแล้วหน้าเราจะออกมาเป็นยังไง จะเหมือนแบบที่คิดไว้รึเปล่า” แต่ยังไงจินตนาการของเรา มันก็เป็นได้แค่จินตนาการนะคะ หลังจากพ้นมีดหมอออกมาแล้วเราก็ไม่มีทางรู้อยู่ดีว่า ใบหน้า ณ ตอนนั้นจะสร้างความพึงพอใจให้กับเราได้แค่ไหน จากที่เคยวาดฝันไว้ว่าหน้าตาของเราต้องออกมาเหมือนกับดาราเกาหลีในดวงใจ แต่ความเป็นจริงก็อาจจะไม่มีแม้แต่เค้าโครงเลยก็เป็นได้ จนหลายคนถึงแม้จะผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้ว ก็ต้องกลับมาผ่าตัดแก้ไขซ้ำใหม่อีกครั้ง เพราะไม่พึงพอใจกับใบหน้าที่ได้มาก็มี


ซึ่งความกังวลใจทั้งหลายที่ว่ามาทั้งหมด จะหายไปในทันทีเลยค่ะ ด้วยเทคโนโลยี “ Virtual 3D Scan” ซึ่งถูกวิจัยและพัฒนาขึ้นจนมาเป็นกล้องสามมิติ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจของผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรม เป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพราะอะไร? เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถเห็นได้เลยค่ะว่า หน้าเปรียบเทียบทั้งก่อนและหลังการทำศัลยกรรมของคุณจะออกมาในรูปแบบใด


ขั้นตอนเริ่มต้นก่อนการตัดสินใจทำศัลยกรรม ปกติแล้วแน่นอนเลยค่ะ เพื่อนๆ ทุกคนต้องเริ่มจากการพูดคุยสอบถามกับทางแพทย์ในสถาบันเสริมความงามที่สามารถไว้ใจได้ก่อน ว่าต้องการให้ใบหน้าของเราเป็นแบบนี้ คุณหมอสามารถทำให้เหมือนได้แค่ไหน เหมือนเปี๊ยบเลยได้ไหม อย่าเชื่อนะคะ ถ้าที่ไหนบอกว่าได้แน่นอน เหมือนแบบ 100% เพราะไม่มีทางเป็นไปได้คะ เนื่องจากรูปหน้าของคนเราไม่เหมือนกันทุกคน ด้วยส่วนประกอบต่างๆ อย่างอายุ เพศ สภาพผิวหนัง และที่สำคัญคือเชื้อชาติ ดังนั้นต้องมีความแตกต่างเกิดขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย คุณหมอบางคนก็อาจจะลำบากใจในการตอบเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่สามารถให้คนไข้ที่ต้องการรับการศัลยกรรมเห็นใบหน้าหลังการเปลี่ยนโฉมแล้วได้ จึงไม่สามารถการันตีได้ แต่เจ้าเครื่อง 3D Scan นี่แหละคะที่เข้ามาพลิกวงการการศัลยกรรมให้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เพราะมันสามารถสร้างภาพเสมือนจริงของผู้ใช้บริการออกมาในรูปแบบ 3 มิติ ลองกันตรงนั้นให้เห็นได้เลยว่าต้องการทำอะไรบ้าง ปรับแก้ตา จมูก คาง ได้หมด เรียกว่าคุณหมอไม่ต้องมานั่งพูดให้เสียเวลาเลยค่ะ และผลที่ได้ก็ใกล้เคียงกันถึงประมาณ 90% เลยค่ะ


การทำงานพื้นฐานของกล้องสามมิติ โดยพื้นฐานแล้วจะคล้ายๆกับโปรแกรมตกแต่งภาพชื่อดังที่คนทำงานกราฟฟิกทุกคนต้องรู้จักอย่าง Photoshop นั่นเองค่ะ แต่หลายคนคงสงสัยใช่ไหมค่ะว่า ทำไมเจ้าเครื่องที่ว่าจึงสามารถช่วยการันตีความเหมือนได้มากขนาดนี้ เพราะคิดเท่าไหร่ พิจารณาดูแล้วยังไง มันก็เป็นแค่คอมพิวเตอร์ เป็นแค่ตัวโปรแกรมเท่านั้น แล้วจะเอาอะไรมายืนยันว่าหน้าของเราจะต้องออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ


คำตอบก็คือ ข้อมูลของการสร้างผลลัพท์ของกล้องสามมิติมาจาก การวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้น จากข้อมูลผู้ใช้บริการในสถานเสริมความงาม คลีนิก และโรงพยาบาล โดยลักษณะโครงหน้าของแต่ละคนจะถูกวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีทางคณิตศาสตร์และหลักการประมวลภาพและข้อมูลเฉพาะที่แตกต่างไปตามใบหน้าของแต่ละคน ทั้งเรื่องอายุ ผิวหนัง ลักษณะของเนื้อเยื่อ ซึ่งทั้งหมดรวมกันออกมาเป็นผลลัพท์ที่มีความใกล้เคียงมากที่สุดกับใบหน้าจริงหลังการทำศัลยกรรม การันตีความเหมือนได้ถึง 90% เลยด้วยนะคะ



คุณพร้อมกับการทำศัลยกรรมเสริมความงามมากแค่ไหน?


ศัลยกรรมความงามที่เป็นเรื่องธรรมดา


ทุกวันนี้การทำศัลยกรรมเพื่อเสริมเติมแต่งความงามได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายแล้วนะคะ ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่สาวๆ คนไหนไปทำมาต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปทำโน่นเติมนี่มา จนจะพูดได้เลยว่าการทำศัลยกรรมความงาม ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูก ทำตาสองชั้น ดึงหน้า หรือเสริมหน้าอก กลายเป็นเรื่องที่ง่ายไปซะแล้วก็คงไม่ผิด แต่รู้ไหมคะว่า ถึงแม้การทำศัลยกรรมจะช่วยเปลี่ยนและเสริมสร้างรูปลักษณ์ของเราให้ดีอย่างใจฝันได้มากแค่ไหน มันก็มีผลกระทบในระยะสั้นและยาวกับตัวเราเองเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใครบ้างละคะที่ไม่อยากสวย ไม่อยากดูดี จริงไหม ดังนั้นถ้าเริ่มต้นคิดอยากสวยด้วยมือแพทย์ขึ้นมาเมื่อไหร่ สาวๆทุกคนก็ควรที่จะมานั่งสำรวจตัวเองกันดูก่อนว่า มีความพร้อมที่จะทำมากแค่ไหน กับเงื่อนไข 4 ข้อต่อไปนี้ที่คุณต้องตัดสินใจยอมรับในการทำศัลยกรรมความงามค่ะ


ข้อจำกัดของอายุ


[caption id="attachment_2686" align="alignnone" width="444" caption="ภาพจาก corbisimages.com"]ศัลยกรรมความงามกับข้อจำกัดทางอายุ[/caption]



ต้องยอมรับกันก่อนเลยว่า การทำศัลยกรรมไม่อาจช่วยเนรมิตได้ทุกอย่างจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของ “อายุ” ถ้าช่วงอายุของคุณเดินไปใกล้วัยทองเข้าทุกที แต่อยากดูดีเหมือนเด็กอายุ 20 ต้นๆ การทำศัลยกรรมไม่ใช่คำตอบนะคะ นั่นคือการตั้งความคาดหวังไว้เกินจริงมากๆ จนหมอไม่อาจทำให้คุณ แต่ถ้าหมอคนไหนพูดว่าทำได้ จำไว้เลยว่าเขาโกหกเพราะอยากได้คุณไปเป็นลูกค้าแน่นอน ทำใจยอมรับกับสภาพที่จะออกมาหลังการผ่าตัดไว้ด้วยนะคะ


อารมณ์ ณ ช่วงเวลานั้น

ถึงการทำศัลยกรรมจะช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ สิ่งของคุณให้ดูดีขึ้นได้ก็จริง แต่อารมณ์ระหว่างการตัดสินใจทำก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ อย่าตัดสินใจด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ว่าอยากทำศัลยกรรมเพราะคุณอยากดูดีเนื่องจากพึ่งเลิกกับแฟน อยากทำเพราะพึ่งเปลี่ยนงานใหม่ เลยอยากดูดีเพื่อให้เข้ากับสังคมใหม่ๆได้ หรือกำลังอยู่ในอาการโศกเศร้าอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง นั่นคือการตัดสินใจเดินหน้าทำ เพราะต้องการตอบโต้เหตุการณ์สำคัญที่เกิดกับชีวิต โดยไม่ได้คิดถึงผลข้างเคียงที่จะตามมาเลยค่ะ คุณต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่คุณกำลังจะทำนั้นถึงมันจะทำให้คุณเปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจก็จริง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยเงินทองที่ต้องเสียไป ต้องเสียเวลาในการพักฟื้นจากอาการแสบบวมแดงหลังการผ่าตัด ไม่ใช่ว่าผ่าเสร็จปุ๊ปจะสวยปั๊ปจริงไหมคะ ยังไงก็ต้องตัดสินใจให้ดีๆ


อาจไม่สวยดั่งฝันเสมอไป แต่ยังไงก็ดูดี

เวลาส่องกระจกคุณมองเห็นหน้าตาตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง? มีแต่จุดด้อยเต็มไปหมด หรือดูดีแต่ต้องอาศัยการเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย เคยได้ยินไหมคะว่า โครงหน้าของคนแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ถึงจะเอเซียเหมือนกันก็เถอะ อย่างที่ประเทศเกาหลีที่เห็นทำศัลยกรรมออกมาแล้วสวยดูดีกันทุกคน แต่บ้านเราไม่ทำจะดีกว่าก็มี นั่นอาจเป็นเพราะโครงหน้าของเขาเหมาะกับการทำศัลยกรรมจริงๆ ก็ได้ หรือไม่ก่อนทำก็มีเค้าโครงความสวย ความน่ารักอยู่แล้ว ถ้าคุณส่องกระจกแล้วเห็นแต่จุดด้อยบนหน้าของตัวเองเพียงอย่างเดียว การทำศัลยกรรมอาจไม่ทำให้คุณสวยเหมือนนางงามได้ภายในชั่วข้ามคืนนะคะ เพราะถ้าคิดแบบนี้มีโอกาสผิดหวังอยู่มาก แต่ปัญหานี้ก็ยังพอแก้ได้นะคะ ด้วยนวัตกรรมใหม่อย่าง กล้องสามมิติ Virtual 3D Scan ที่ BB Clinic สถาบันเสริมความงามตามแบบฉบับเกาหลีที่สามารถ สแกนใบหน้า และจำลองภาพเสมือนจริงหลังทำศัลยกรรม ซึ่งมีอัตราความเหมือนอยู่ที่ 90% เลยนะคะ เจ้าเครื่องนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้ดีมากทีเดียว ถ้าเห็นแล้วไม่ชอบจะเปลี่ยนใจไม่ทำก็ได้ ไม่มีอะไรเสียหาย ดีกว่าพลาดทำไปแล้วต้องมากลุ้มใจทีหลังค่ะ


สุขภาพก่อน-หลังการทำศัลยกรรมความงามก็เป็นสิ่งสำคัญ

ศัลยกรรมความงามเหมาะกับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง


ก่อนทำศัลยกรรมอย่าลืมปรึกษาแพทย์ หรือตรวจเช็คร่างกายให้ดีก่อนนะคะ ว่าช่วงนี้ฟิตพอที่รับการผ่าตัดได้รึเปล่า ถ้าไม่อย่าคิดฝืนทำเด็ดขาด ถ้าอยากทำศัลยกรรม สิ่งที่จำเป็นต้องปฎิบัติอย่างเคร่งครัดก็คือการออกกำลังกายค่ะ รวมถึงต้องดูแลผิวพรรณอย่างจริงจังด้วยในกรณีที่ผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้ว เพราะการทำศัลยกรรม ไม่ได้ทำให้คุณดูสวยขึ้นเป็นอมตะอยู่ตลอดยังไงก็ต้องมีเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ดีเหรอค่ะ ถ้าคุณมีพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาที่สวยงามและสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ตลอดเวลา ยิ่งถ้าคุณอายุมากแล้วก็ยิ่งต้องดูแลรักษาร่างกายให้มากกว่าปกติ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่าเครียด สิ่งเหล่านี้จะช่วยชะลอระยะเวลาของสังขารตามธรรมชาติที่จะมาเยือนคุณอีกครั้งให้ช้าลงอีกเยอะเลยคะ


เป็นยังไงบ้างคะกับเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อนี้ ถ้าคุณอ่านครบทุกข้อแล้วพบว่าทุกอย่างพร้อม อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ ก็เริ่มได้เลยค่ะ แต่อย่าลืมเลือกสถาบันเสริมความงามที่มีชื่อเสียงไว้วางใจได้นะคะ จะได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าสิ่งที่กำลังตัดสินใจทำอยู่ตอนนี้ต้องออกมาดีอย่างแน่นอนค่ะ


ดึงหน้า ไม่ง้อ ศัลยกรรม เหมาะกับใคร ??


ด้วยความที่ผมเป็น หมอศัลยกรรมตกแต่ง เมื่อมีคนไข้ต้องการดึงหน้า ผมมักคิดในใจเสมอว่า งานเข้าซะแล้ว เพราะอะไรนั่นเหรอครับ ก็เพราะการผ่าตัดดึงหน้า แล้วทำให้เกิดความพึงพอใจ ทั้งผู้ป่วยและตัวหมอเองเป็นเรื่องยาก สาเหตุมาจาก การผ่าตัดดึงหน้า ไม่สามารถแก้ไขในสิ่งที่คนไข้ต้องการได้จริงๆ นะซิครับ


ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมใบหน้าเราถึงได้ แก่ หรือ ดูมีอายุ ซึ่งผมจะไล่เป็น ข้อๆจากหน้าผากถึงคาง โดยจะแบ่งเป็น เรื่องของ เนื้อเยื่อที่หย่อนยาน กับ การเกิดรอยย่น


สาเหตุที่ทำให้คนดูหน้าแก่มีรอยย่น


ภาพก่อนหลังการดึงหน้า


เมื่อเราดูจากรูปด้านบนทำให้เราทราบแล้วว่า ทำไมเราถึงดูแก่ ต่อไปเราก็มาหาวิธีการแก้ไขกันเถอะ คิดง่ายๆว่า ถ้าเราต้องการแก้ไขทั้งหมด 8 ข้อดังกล่าว หมอบอกได้คำเดียวว่า  จะแก้ไขด้วยการผ่าตัดอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้
การผ่าตัดดึงหน้านั้น เหมาะสำหรับ คนที่มีหน้าผากย่น หัวคิ้วย่น  หนังตาตก ถุงใต้ตา และ เนื้อเยื่อข้างแก้มหย่อนมากๆเท่านั้นเอง นอกนั้นจะถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย และที่สำคัญ การผ่าตัดดึงหน้านั้นเหมาะกับคนไข้ที่ อายุ 40 ปลายๆ จนถึง 50 ปลายๆเท่านั้นเอง  เพราะ ถ้าอายุมากกว่านี้ การทำการผ่าตัดไปอาจไม่ช่วยอะไรได้มาก เนื่องจากเนื้อเยื่อส่วนใหญ่เริ่ม ผ่อลีบแล้ว ทำการผ่าตัดไปอาจ เหมือนเดิม หรือดีขึ้นเล็กน้อย
แล้วถ้าอายุไม่ถึง เช่น วัย 35- 45 ละ ควรทำยังไง? ในเมื่อเริ่มสังเกตว่า เราแก่ขึ้น แต่ในเมื่อผ่าตัดก็ไม่คุ้ม แถมบางครั้ง หน้าตาเราก้ยังไม่ได้ย่นเหมือน 8 ข้อดังกล่าวข้างต้นด้วย


ก่อนขึ้นหมอก็ขอออกตัวก่อนว่า หมอเองก็มีอายุอยู่ในช่วงดังกล่าว แต่ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดจะทำหน้า ไม่เคยคิดว่าอยากจะทำอะไรกับหน้าตัวเองเลย แม้ว่าตัวเองเป็นหมอผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งก็ตาม คิดอยู่เสมอว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็น เรื่องธรรมชาติ แถมอีกหน่อยคือ เมื่อคนเราอยู่ใต้แรงดึงดูดของโลก ย่อมเหี่ยวย่นเป็นธรรมดา


จนเมื่อไม่นานมานี้ ทาง BB Clinic ได้นำเครื่องมือใหม่มา ชื่อ Regen Tripolar ( จริงๆ ก็คือ เครื่อง RF – Radio frequency generation ที่ 3  ) ซึ่งหมอเองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเท่าไร เพราะคิดในใจเสมอว่า เครื่องมือหลอกเด็กจะมาสู้ มีดหมอได้ยังงัย ??   ถามเด็กในร้านว่าคนไข้ทำแล้วเป็นงัย เด็กๆก็บอกว่า คนไข้ชอบ  ไม่เจ็บ แต่ร้อนนิดๆ แตได้ผลดี  หมอก็บอกว่า หรอ? จนบ่อยเข้า คนไข้ก็มาทำกันมากขึ้น  หมอก็เลยคิดในใจว่า  “ น่าสนดีนะ เพราะไม่เจ็บด้วย  แต่ว่าเราก็หน้าตาไม่มีรอยย่นเลยนะ ไม่เป็นไรทำเล่นๆก็ได้ “ ผลปรากฏว่า   WOW! ไม่แน่ใจว่า รู้สึกไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่า หน้าตาเราดูดีขึ้นนะ ไม่ใช่ว่าดูตึงแต่ ว่าดูดีขึ้น แม้ว่าเพิ่งทำไปครั้งเดียวเอง


กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ใช้แสดงออกทางสีหน้า
ภาพจาก MedicalLook.com


ผมก็เลยกลับมานั้งคิดว่า ทำไม? ก็เลยนึกถึง สมบัติ เมธนี พระเอกตลอดกาลว่า เค้าเข้า Fitness เล่นกล้ามตลอด ทำให้ถึงแม้อายุ 70 แล้วแต่ก็ยังหุ่นดีดูฟิต แข็งแรงกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน ซึ่งบนใบหน้าเราเองก็มีกล้ามเนื้อเหมือนร่างกาย มีไว้สำหรับการแสดงสีหน้า ( Facial Expression ) ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 14 คู่ 34 มัด    ถ้าใบหน้าได้ออกกำลังกายซะบ้าง เหมือนกล้ามแขนของพระเอกตลอดกาลของเรา ก็สามารถทำให้ใบหน้าดูกระชับได้เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้นึกถึง การออกกำลังกายใบหน้าด้วยการหัวเราะ หรือ การทำโยคะใบหน้า ที่เป็นเคล็ดไม่ลับของการทำให้หน้าเต่งตึงอ่อนกว่าวัย และดูแจ่มใสอยู่เสมอ


การแสดงออกทางสีหน้าและใบหน้า


เมื่อเอาเหตุผล และทฤษฎีทางกายภาพเบื้องต้นมาบวกลบรวมกันแบบวิทยาศาสตร์ ก็เลยได้คำตอบว่า การยกกระชับหน้าด้วย เครื่องมือทางการแพทย์ เช่นการส่งคลื่นเสียง ( RF และ Utrasonic ) ไปยังกล้ามเนื้อใบหน้า ก็สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าได้ออกกำลังได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผลที่ได้ ก็คงเหมือนคนออกกำลังกายบ่อยๆแล้วมีกล้ามเนื้อที่ดูฟิตกระชับ ดูแข็งแร็งทั้งจากภายในภายนอกเหมือนกัน



การทำ“ศัลยกรรม”จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป

ใครที่เคยคิดว่ามีแต่อาชีพ ดารา นักร้อง นางงาม นางแบบ หรือคนในวงการบันเทิง ที่ต้องใช้หน้าตาเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพเท่านั้น ถึงจะนิยมทำศัลยกรรมเสริมความงามกัน ต้องขอให้เปลี่ยนความคิดของคุณเสียใหม่ได้เลยค่ะ

จะเอายังไงดี กับตาสองชั้น ( ของฉัน )


ตอนนี้ Trend เกาหลีมาแรง อะไร อะไร ก็ขอให้เป็นเกาหลี รับรองขายได้จริงๆ ขนาดช่อง 3 ถึงขนาดเอาซีรี่ส์ แดจังกึม มาฉายใหม่ แต่ rating ก็ยังดีไม่มีตก ผมเองก็เป็นคนนึ่งที่ ติดหนังเรื่องนี้ ถึงขนาดว่า บางครั้งแทบจะอยากผ่าตัดไปดูละครไปเลยทีเดียว


เมื่อหันมาดูด้านเกี่ยวกับศัลยกรรมความงามบ้าง ก็พบว่า คนไข้ส่วนใหญ่อยากทำศัลยกรรมแบบเกาหลีด้วยเหมือนกัน ตั้งแต่ ทำตาสองชั้น เกาหลี เสริมจมูกเกาหลี เสริมคางเกาหลี หน้าเรียวเกาหลี botox เกาหลี หรือแม้กระทั้ง เสริมหน้าอกเกาหลี อันสุดท้ายเนี่ย ทำให้ผมถึงกับงง แล้ว ถามคนไข้กลับไปว่า «ไปดูมาจากไหนหรอ หน้าอกเกาหลี ?» คนไข้ตอบกลับมาว่า «อ้าวเห็นเป็น คลินิกศัลยกรรมเกาหลี เลยคิดว่ามี»


กลับมาพูดถึงหัวข้อเรื่อง ตาสองชั้น (ของฉัน) จะเอางัยดี ? หลายครั้งที่คนไข้มาขอผ่าตัดตาแบบเกาหลี แต่หมอหลายคนบอกว่าทำไม่ได้ แล้วอธิบายเหตุผลแก่คนไข้ไป แต่คนไข้กลับไม่เชื่อ แล้วบอกกับหมอว่า มาผ่าตัดตาเกาหลีทำไมหมอไม่ผ่าให้ ผมจึงขออธิบาย ลักษณะตาแบบที่เหมาะกับ การผ่าตัดตาแบบเกาหลีให้ฟังดังนี้นะครับ


ลักษณะจมูกที่สามารถทำตาสองชั้นแบบเกาหลีได้

 

  1. หนังตาไม่หนา
  2. ไขมันหรือถุงไขมันที่เปลือกตาบนไม่เยอะ
  3. ชั้นตาไม่มี หรือเป็นชั้นตาแบบหลบใน
  4. อายุไม่เกิน 30 ปี

 

ถ้ามีลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นบุคคลที่เหมาะกับการผ่าตัดตาแบบเกาหลี เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้บางคนอาจไม่ทราบว่า การผ่าตัดตาแบบเกาหลี หมายความว่าอย่างไร จึงขออธิบายสั้นๆว่า

เป็นการผ่าตัดฝังปมไหมไว้ใต้ผิวหนัง  ( Buried Suture technique ) โดยอาจจะมีแผลผ่าตัดเป็นจุดเล็ก 2-3 จุด บริเวณเปลือกตา ไม่มีการผ่าตัดเอาหนังตาออกไป แต่อาจมีการเจาะเอาไขมันบริเวณเปลือกตาบนออกตามจุดที่เจาะไว้     จากประสบการณ์ของผมพบว่า ข้อดีเพียงอย่างเดียวของ technique นี้คือ ใช้เวลาในการผ่าตัดสั้น คือแค่ 20 นาทีเท่านั้น  ส่วนข้อเสียที่พบ คือเมื่อทิ้งระยะไปประมาณ 3 -6 เดือน ชั้นตาที่ได้ค่อนข้างมีขนาดเล็กเนื่องจากหนังตาที่ไม่ได้ตัดออกจะลงปิดบังชั้นตาที่เกิดขั้น  ( จะดูสวยถูกใจอยู่ประมาณ 1 เดือนแรก )

แล้วคนไข้แบบไหนที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัดตาแบบเกาหลี และลืมการศัลยกรรมตาสองชั้นแบบเกาหลีสำหรับตัวเองไปได้เลย ( Buried Suture Technique ) ก็คือคนไข้ในกลุ่มดังกล่าวนี้ครับ


1) หนังตาตกตามอายุ ( อายุ 40 ปีขึ้นไป ) จะสังเกตุได้จากเมื่อเขียน eye liner แล้ว เลอะเปลือกตา หรือเขียนได้ไม่สวยเหมือนก่อน  หรืออาจพบว่า ตาที่เคยมี 2 ชั้น กลายเป็น 3 ชั้น นั้นก็เป็นอาการแสดงหนังตาตก  หรือคนไข้บางคนอาจมีอาการขนตาแยงตา ทำให้มีอาการเคืองตาน้ำตาไหลบ่อยๆ ( ถ้ามีอาการขนาดนี้ควรรีบรักษาโดยด่วน เนื่องจากขนตาอาจก่อให้เกิด แผลบริเวณกระจกตาได้ )


ลักษณะจมูกที่ไม่เหมาะกับการทำตาสองชั้นแบบเกาหลี-1

 

2) ผิวหนังบริเวณเปลือกตาหนา และมี ถุงไขมันบริเวณเปลือกตามาก สังเกตุว่า ตาจะดูปูดๆๆ ตาโปนๆ


3)  กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง   ( Ptosis  ) ลักษณะที่เห็นบ่อยๆ คือ ตาจะดูเหมือนเศร้า ตาดูเหนื่อยๆอยู่ตลอดเวลา หรือเหมือนกับ ง่วงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งลักษณะดังกล่าวต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด ย่นระยะกล้ามเนื้อตา หรือการผ่าตัดที่เหมาะสม


ลักษณะจมูกที่ไม่เหมาะกับการทำตาสองชั้นแบบเกาหลี-2

 

เมื่อท่านผู้อ่านทราบดังนี้ จะทำให้อย่างน้อยจะได้ไม่ยืนกราน ไปบอกคุณหมอว่า ขอผ่าตัดแบบเกาหลีเท่านั้น เพราะถ้าคุณหมอท่าน ตามใจคนไข้ แล้วผ่าตัดไปตามนั้น สิ่งที่เกิดคือได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนา ขอให้คิดไว้ว่า ไม่มีวิธีการผ่าตัดตาแบบใดที่เหมาะสำหรับทุกลักษณะของตา ท่านควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการผ่าตัดที่เหมาะกับตาของท่าน ไม่ว่าเทคนิคไหนที่ทำให้ดวงตาของท่านดูสวยขึ้น ก็น่าจะดีกว่านะครับ